วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

คอรถโบราณ

3 คัน 3 สไตล์ ความคลาสสิกที่ร่วมสมัย


ถ้านับดูแล้ว ในวงการรถโบราณนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่คนในวงการนี้ยกนิ้วให้เป็นผู้ที่มีรถโบราณเยอะและมีคุณค่ามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือคุณสุชาต วิริยะพานิช ที่หลายเสียงที่ตอบออกมาต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือ อีกหนึ่งคนที่เป็นคอรักรถโบราณตัวจริง










ในงานหัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด ปลายปีที่ผ่านมานั้นการันตีได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะครั้งนี้เขาได้นำรถโบราณจำนวน 3 คันได้แก่ เมอร์เซเดส ? เบนซ์ 300 , เมอร์เซเดส ? เบนซ์ 220 เอส และ โฟล์ก คามานเกีย มาร่วมขบวน









"ตัวผมเองชื่นชอบรถโบราณมาได้นานพอควร เพราะความแปลกของตัวรถ ประกอบกับเส้นสายลายเส้นของรถโบราณก็ดูสวยงาม และที่สำคัญรถโบราณยิ่งเรารักษามูลค่าของตัวรถจะมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากรถใหม่ที่มูลค่าของตัวรถมีแต่จะเสื่อมลง"คุณสุชาต เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปก่อนจะร่ายยาวถึงรถทั้ง 3 คันที่มาร่วมงานหัวหินวินเทจคาร์ในครั้งนี้











สำหรับรถทั้ง 3 คันที่เจ้าของได้นำมาอวดโฉมในงานครั้งนี้นั้น เจ้าตัวบอกเล่าว่า ถือเป็นรถที่รักมากทั้ง 3 คัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมอร์เซเดส ? เบนซ์ 220 เอส ปี 1958 ที่ถือว่าเป็นรถในฝัน ซึ่งเสน่ห์ที่ตรึงให้ทุกคนต้องมนต์ของรถคันนี้ก็คือ ความเป็นรถสปอร์ต 2 ประตู และมีหลังคาผ้าใบที่เป็นของดั้งเดิม และที่สำคัญรถคันนี้ถือเป็นรถที่หาดูได้ยากยิ่งในประเทศไทยและในโลก เนื่องจากว่าเป็นรถที่มีการผลิตขึ้นมาน้อยเพียงไม่กี่พันคันในโลก เรียกได้ว่าด้วยปัจจัยทั้งหมดทำให้ คุณสุชาติไม่ปฏิเสธ เมื่อมีคนมาหยิบยื่นโอกาสให้ได้เป็นเจ้าของรถคันนี้











โดยสภาพของตัวรถเมื่อได้มาในขณะนั้นถือว่าดี จะมีเพียงระบบเบรก ช่วงล่าง และระบบไฟที่ไม่ค่อยเรียบร้อย งานนี้จึงต้องมอบหมายหน้าที่ให้ช่างที่รู้จักมักคุ้นมาคอยดูแลรถให้ยังที่บ้าน โดยสาเหตุที่ต้องมีการให้ช่างเข้ามาดูแลที่บ้าน ก็สืบเนื่องมาจากรถโบราณส่วนใหญ่หากศูนย์ซ่อมหรืออู่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวรถอาจจะมีการถอดอะไหล่หรือชิ้นส่วนบางชิ้นที่สำคัญออกไปซึ่งตรงนี้หากสูญเสียไปก็หมายถึงมูลค่าอันมากมายเพราะอะไหล่บางชิ้นนั้นหาได้ยากมาก เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความละเอียดอ่อนรอบคอบคนหนึ่ง











นอกจากเมอร์เซเดส ? เบนซ์ 220 เอสที่เจ้าของโปรดปรานเป็นพิเศษแล้ว ยังมีเมอร์เซเดส ? เบนซ์ 300 ปี 1952 ที่เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าคันนี้กว่าจะได้มาต้องใช้เวลานานกว่า 5 ปีเลยทีเดียว ซึ่งสาเหตุที่ใช้เวลานานก็เนื่องมาจาก เจ้าของเดิมตั้งราคาขายของรถคันนี้อยู่ในอัตราที่สูงมาก แต่เมื่อถึงช่วงปี 2540 ที่เศรษฐกิจในประเทศไทยทรุดตัวลง ทางเจ้าของเดิมก็ได้มีการประกาศขายอีกครั้ง และทางเจ้าของคนใหม่อย่างคุณสุชาต ก็สามารถต่อรองราคาได้ งานนี้เลยรีบคว้ามาเก็บไว้ในกรุอย่างทันทีทันใด











และเมื่อได้รถโบราณคันใหม่เข้ามาในกรุ ภารกิจทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น โดยตัวรถแม้จะมาในสภาพที่ดี และวิ่งได้ แต่ ก็ไม่ได้สมบูรณ์พอที่จะขับขี่ไปไหนได้ งานนี้เจ้าของคนใหม่จึงต้องมีการนำมาแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่หมดทุกอย่าง ซึ่งกระบวนการดังกล่าวก็กินระยะเวลาค่อนข้างนาน เนื่องจากต้องมีการมองหาอะไหล่บางตัวที่หาได้ยาก











แม้ว่าต้องใช้ระยะเวลาในการเจรจากว่าจะเป็นเจ้าของและเมื่อได้มาก็ต้องใช้เวลาไปกับการซ่อมแซมอย่างยาวนานแต่ทางเจ้าของก็ไม่มีการท้อแต่อย่างใด พร้อมกันนี้เจ้าของยังบอกเล่าด้วยความภาคภูมิใจเกี่ยวกับรถคันนี้ว่า ?เป็นรถที่ผลิตขึ้นมาเพื่อผู้นำ อย่างนายกรัฐมนตรี หรือ ประธานาธิบดี ตัวรถเองมีความโดดเด่นตรงที่ความเป็นสปอร์ต มีหลังคาเปิดประทุนแบบผ้าใบ นอกจากนั้นแล้วรถคันนี้มีไลน์การผลิตเพียงแค่ 600 กว่าคันในโลกและในบ้านเราก็มีเพียงไม่กี่คัน ตรงนี้มันทำให้มูลค่าของตัวรถมันเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ?











ส่วนรถคันสุดท้ายที่คุณสุชาต จะพูดถึงในก็คือ โฟล์ก คามานเกีย ปี 1962 ที่โดดเด่นและสะดุดตาแก่คนรอบข้างไม่น้อย เพราะสีของตัวรถที่เจ้าของเดิมเลือกอย่าง สีชมพู ถือเป็นสีที่น้อยคนนักจะเลือกมาใส่ใว้ในรถของตัวเอง อย่างไรก็ตามแม้สีสันตัวรถจะสดใส และสะดุดตาแต่ทางเจ้าของคนใหม่ก็เล่าให้ฟังว่าหากมีโอกาสก็อยากจะเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเดิมแบบออริจินัลตามยุคสมัยนั้นๆ โดยสาเหตุที่เลือกรถคันนี้มาเก็บไว้ในกรุอีกหนึ่งคัน ก็คือ การออกแบบ ดีไซน์ของตัวรถที่มีความโค้ง ความลาดของตัวรถ ประกอบกับความเป็นสปอร์ตที่ใส่ใว้ในรถคันนี้ ที่ได้ชื่อว่าเป็น คิง ออฟ โฟล์กสวาเก้น ทำให้ดูอย่างไรก็ปิ๊งไปในทุกส่วน











สุดท้ายคุณสุชาตเปรียบเทียบว่ารถทั้ง 3 คันนี้ มีการออกแบบที่ต่างกัน สมรรถนะก็แต่งกัน แต่ละคันมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง ทำให้เป็นความคลาสสิกที่คอรถโบราณใฝ่ฝันหาและไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนก็ยังคงเสน่ห์ไม่เสื่อมคลายแน่นอน!




เป็นไงครับถูกใจกันใหมครับ...navarablue

1 ความคิดเห็น: